บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาของความสำคัญปัญหา
การศึกษาระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนทั้งร่างกายและจิตใจ
ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรม
วัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถร่วมอยู่กับผู้อื่นได้ก็อย่างมีความสุข
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดจุดมุ่งหมายและหลักการพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 ขึ้น
เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบันและอนาคตที่พัฒนาหลายๆด้านโดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จึงมีความเป็นอย่างยิ่งที่สร้างจิตสำนึกเยาวชนให้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้มีทักษะที่สำคัญในการค้นหาความรู้
คิดเป็นเหตุผล คิดสร้างสรรค์คิดวิเคราะห์
วิจารณ์มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างมีระบบ
สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้
(สถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546 หน้า 1)
นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการโดยกรมวิชาการได้ทำการติดตามผลและการใช้หลักสูตรประถมศึกษา
พุทธศึกษา 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) พบว่า มีข้อจำกัดหลายประการ
ซึ่งข้อจำกัดข้อหนึ่ง คือ การจัดหลักสูตรและการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยียังไม่สามารถผลักดันให้ประเทศเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในภูมิภาค
จึงจำต้องปรับปรุงการเรียนการสอนให้คนไทย มีทักษะกระบวนการและเจตคติ
ที่ดีทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์(กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ 2546, หน้า 1)
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 จึงได้มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถนำทักษะกระบวนทางวิทยาศาสตร์มาใช้แก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
การคิดอย่างเป็นเหตุผลคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์และจิตวิทยา ดังนั้นวิทยาศาสตร์
บทบาทยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน
ความรู้เกี่ยวกับวิทยาสาสตร์ช่วยให้เกิดพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมากวิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนา
วิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์
คิดวิเคราะห์วิจารณ์มีทักษะที่สำคัญในการค้นหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสามารถตัดสินใจ
โดยใช้ข้อมูลและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจนำไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และคุณธรรม
(กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546 หน้า 1)
ปัจจุบันการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษายังจัดกิจกรรมโดยเน้นองค์ความรู้ส่วนใหญ่ทำให้ขาดเรื่องทักษะกระบวนการ
การแสวงหาความรู้ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์จะดำเนินไปด้วยดีนั้นต้องให้ผู้เรียนได้การฝึกฝนให้เกิดทักษะจำเป็น
13 ทักษะ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่ 1 เป็นทักษะ กระบวนการขั้นพื้นฐาน
แบ่งออกเป็น 8 ทักษะคือ การสังเกต การวัด
การจำแนกประเภทการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา และคำนวณ
การจัดการกระทำสื่อความหมายของข้อมูลความหมายของข้อมูล การลงคิดเห็นจากข้อมูล
การพยากรณ์ ระดับที่ 2 เป็นทักษะกระบวนการขั้นผสมหรือบรูณาการ แบ่งออกเป็น 5 ทักษะ
คือ การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยาเชิงปฏิบัติการ การกำหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง
การตีความหมายของข้อมูลและลงข้อมูลสรุป (AAA,
อ้างใน ภพ เลาห์ไพบูลย์,
2542, หน้า 14)
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนให้เกิดขึ้นกับทุกคน
เพราะไม่เป็นเพียงจะเป็นแนวทางในการคันคว้าหาความรู้
หรือหาคำตอบสำหรับแก้ปัญหาต่างๆในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ทุกๆสาระและการดำรงชีวิตต่อไป
ดังนั้นครูผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนได้ฝึกปฏิบัติจนเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์
เพื่อให้เป็นคนช่างสังเกต รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีระบบ
และรู้จักค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 13
ทักษะ เป็นทักษะพื้นฐานสำหรับทุกคนในการดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม
เนื่องจากทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เป็นทักษะที่สำคัญที่ต้องมีพื้นฐานความรู้เพื่อสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
จากการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผลของนักเรียน
พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดสารอดขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์
ซึ่งมีสาเหตุมาจากนักเรียนขาดการใช้ทักษะ และฝึกฝนทักษะอย่างสม่ำเสมอ
ขาดการค้นคว้าด้วยตัวเองและสื่ออุปกรณ์ในการจัดกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์
ดังนั้นการจัดกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์จึงเน้นการให้องค์ความรู้เป็นส่วนใหญ่
ซึ่งส่งผลให้นักเรียนขาดการฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำให้ผลการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่1โรงเรียนวัดสารอดมีจำนวนนักเรียน
47 คนนักเรียนได้คะแนนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
นับได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมายังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ
จากความข้างต้นแสดงให้เห็นว่านักเรียนยังขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และประสบการณ์เกี่ยวกับการนำวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในชีวิตประจะวันอย่างถูกต้องซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนโดยตรง
จำเป็นที่จะต้องรีบแก้ไขให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
โดยให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนได้กระทำ
ได้สัมผัสด้วยตัวเองได้คิดปัญหาจากข้อมูลพื้นฐานที่ปรากฎซึ่งทำให้สามารถแก้ไขปัญหาจากข้อมูลพื้นฐานที่ปรากฎถึงทำให้สามารถแก้ไขเฉพาะหน้าได้จากการศึกษาและเทคนิควิธีต่างๆ
ที่ใช้สอนวิทยาศาสตร์
การใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ช่วยฝึกทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์เพราะรูปแบบหรือชุดกิจกรรมฝึกทักษะเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ช่วยฝึกทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์เพราะรูปแบบหรือชุดกิจกรรมฝึกทักษะประมวลเนื้อหาประสบการณ์แนวคิด
วิธีการ แนวคิด กิจกรรมและสื่อได้อย่างสอดคล้องกัน
การเรียนชุดกิจกรรมนั้นนักเรียนมีโอกาสได้ทำกิจกรรมและเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจึงทำให้การเรียนรู้ดีขึ้นซึ่ง
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2532, หน้า 262) กล่าวว่าการเรียนรู้จะยิ่งได้ผลไปอีกถ้าผู้เรียนได้มีส่วนร่วมและเผชิญกับสถานการณ์จริงมากที่สุดศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อเสริมทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ของประถมศึกษาปีที่
1 พบว่า
นักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 พบว่า
นักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์มีคะแนนทักษะด้านวิทยาศาสตร์หลังการใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าคะแนนทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ก่อนการใช้ชุดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ
.01 สิ่งสามารถยืนยันได้ว่าการสอนด้วยชุดกิจกรรมเป็นวิธีการที่ดีวิธีหนึ่งการช่วยเหลือพัฒนาทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์
ดังนั้นผู้วิจัยสนใจที่จะพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยใช้ทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1
วัตถุประสงค์ประสงค์ของการศึกษา
1.
เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่
1
2.
เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1
ขอบเขตของการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้มีขอบเขตดังนี้
1.
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้
คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนวัดโยธินประดิษฐ์ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ
เขต 1 จำนวน 39 คน
2. ขอบเขตของเนื้อหา
2.1
ขอบเขตเนื้อหาในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยเนื้อหา 2 ส่วน คือ
เนื้อหาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง
พืชรอบตัวเรา (สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) สำนักพิมพ์
บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)
โดยทำกิจกรรมจัดทำเป็นชุดกิจกรรม 1
ชุด ดังนี้
สาระการเรียนรู้
เรื่อง พืชรอบตัวเรา ซึ่งประกอบด้วย
-
ส่วนประกอบของพืช
- รากของพืช
-
ลำต้น
-
ใบของพืช
-
ดอกของพืช
- พืชบก และพืชน้ำ
นิยามศัพท์เฉพาะ
ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนทางวิทยาศาสตร์
หมายถึง ชุดกิจกรรมที่ผู้ศึกษาเพื่อพัฒนากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน 8
ทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1
ชุดแต่ละชุดประกอบด้วยชื่อชุดกิจกรรม คำชี้แจง จุดประสงค์การเรียนรู้
สาระสำคัญในการจัดกิจกรรม
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ เวลาที่ใช้ วิธีการดำเนินกิกรรมประกอบด้วยด้วย
4 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นกิจกรรม ขั้นอภิปรายขั้นสรุปผล
การประเมินผลและภาคผนวก
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน หมายถึง ความสามารถในการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
8 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต การวัด การจำแนก ประเภท
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา การคำนวณ
การจัดการทำสื่อและความหมายของข้อมูล การลงความคิดเห็น การพยากรณ์ ได้แก่
ทักษะการสังเกต
หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ หู ตา
จมูก ลิ้น ผิวกาย
เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุเพื่อค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น
โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วย
ข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน หมายถึง
คะแนนที่ได้จาการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนตามทักษะการสังเกตทางวิทยาศาสตร์
หลังจาการชุดกิจกิจกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยนำผลรวมของคะแนนคิดเป็นร้อยละ
แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 65
ผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้
หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ของนักเรียนหลังจาการใช้ชุดกิกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยนำผลรวมของคะแนนคิดเป็นค่าร้อยละ
แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 65
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.
ได้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่
1
2.
ได้แนวทางในการสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1
ในครั้งนี้
ผู้วิจัยเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับหัวข้อเนื้อหาต่อไปนี้
2.1
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นฐาน พุทธศักราช 2551
2.1.1 วิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย
2.1.2
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์
2.1.3 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
2.1.4
โครงสร้างเวลาเรียน
2.1.5
การจัดการเรียนรู้
2.1.6
เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์
2.2
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนวิทยาศาสตร์ พุทธศักราช 2551
2.2.1 ทำไมต้องเรียนวิทยาศาสตร์
2.2.2 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.2.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
2.2.4 คุณภาพผู้เรียน
2.2.5 มาตรฐานตัวชี้วัด
และสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2.3
ชุดกิจกรรม
2.3.1 ความหมายชุดกิจกรรม
2.3.2 ส่วนประกอบของชุดกิจกรรม
2.4
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.4.1
ความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.4.2
ความสำคัญของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.4.3
รูปแบบการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.4.4 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.5
พฤติกรรมที่บ่งชี้ในการเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.6 การวัดและการประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.6.1 การวัดและประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาสตร์
2.7
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นฐาน
พุทธศักราช 2551
1.1 วิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน
ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม
มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก
ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ
การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต
โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ(กระทรวงศึกษา
255:4 )
จากวิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 สรุปได้ว่าวิสัยทัศน์ของหลักสูตรนี้
มุ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความสมบรูณ์ทั้งร่างกาย ความรู้ คุณธรรม
ให้มีจิตสำนึก
สามารถยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้
นอกจากนี้ยังเน้นถึงความจำเป็นในการเรียนต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต
และสิ่งสำคัญคือการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.2
หลักการ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มีหลักที่สำคัญ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551: 3)
1)
เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ
มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้
ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน
ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ
ภาค
และมีคุณภาพ
3)
เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ
ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องของท้องถิ่น
4)
เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้
เวลาและการจัดการเรียนรู้
5)
เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
6)
เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตาอัธยาศัย
ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
จากหลักการของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551
สรุปได้หลักการของหลักสูตรนี้มุ่งเน้นในการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้สำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้
ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมโดยที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการ
มีลักษณะการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นและยังเป็นหลักสูตรที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งในการศึกษา
ในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
1.3 จุดหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ
และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน
เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551:
5 )
1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นค่าของตนเอง
มีวินัยและปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ
ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี
และมีทักษะชีวิต
3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย
4) มีความรักชาติ
มีจิตสำนึกในความเป็นพลไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
5)
มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม
และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
จากจุดหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 สรุปได้ว่า
จุดหมายของหลักสูตรนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาไปแล้วจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม
จริยธรรม มีความรู้ตามสมรรถนะของผู้เรียนทั้ง 5 ข้อ มีสุขภาพร่างกายจิตใจที่ดี
รักชาติ มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย
มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
1.4
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้
(กระทรวงศึกษาธิการ 2551:6 – 7)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ
ดังนี้
1) ความสามารถในการสื่อสาร
เป็นความสามรถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด
ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก
และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมรวมถึงการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง
ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง
ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร
ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
2)
ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์
การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ
เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3)
ความสามารถในการแก้ไขปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล
คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ
ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและการแก้ไขปัญหา
และมีการตัดสินใจที่มีประสิทฺธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง
สังคมและสิ่งแวดล้อม
4)
ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนะกระบวนการต่างๆ
ไปใช้การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
การทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล
การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
5)
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้
การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
จากสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551
สรุปได้ว่า
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนของหลักสูตรนี้มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนความสามารถในการสื่อสาร
เป็น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม
2. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์
เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 7)
1) รักชาติ
ศาสน์ กษัตริย์
2) ซื่อสัตย์สุจริต
3) มีวินัย
4) ใฝ่เรียนรู้
5) อยู่อย่างพอเพียง
6) มุ่งมั่นในการทำงาน
7) รักความเป็นไทย
8) มีจิตสาธารณะ
นอกจากนี้
สถานศึกษาสามรถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง
จากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
สรุปได้ว่า คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรนี้มุ่งเน้นผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์
เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก
3. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
1. มาตรฐานการเรียนรู้
การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล
ต้องคำนึงถึงหลักการพัฒนาการทางสมองและพหุปัญหา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้
1) ภาษาไทย
2) คณิตศาสตร์
3) วิทยาศาสตร์
4) สังคมศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรม
5) สุขศึกษาและพลเมือง
6) ศิลปะ
7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี
8) ภาษาต่างประเทศ
ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม
ที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
นอกจากนี้มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ
เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร
และประเมินอย่างไร
รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา
และการทดสอบระดับชาติ
ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด(กระทรวงศึกษาการ
2551:8)
จากมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 สรุปได้ว่า
มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรนี้มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุลคำนึงถึงพัฒนาการสมองและพหุปัญญาของผู้เรียน
โดยได้กำหนดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ให้ผู้เรียนได้รู้และปฏิบัติ และยังสามารถขับเคลื่อนพัฒนาการต่าง ๆ ได้
ในการเรียนรู้ทราบความต้องการของผู้เรียนได้
และทราบวิธีการเทคนิคในการสอนอย่างไรเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้
รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้
มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรมนำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหา
จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน
และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน
1) ตัวชี้วัดชั้นปี
เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ
(ประถมศึกษาปีที่1-
มัธยมศึกษาปีที่ 3)
2) ตัวชี้วัดช่วงชั้น
เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(มัธยมศึกษาปีที่
4-6)
หลักสูตรได้มีการกำหนดรหัสกำกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
เพื่อความเข้าใจและให้สื่อสารตรงกัน ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551:9)
ว
1.1 ป.1/2
ป.1/2
ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้อที่ 2
1.1 สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1
ว กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ต.
2.2 ม.4-6/3
ม.4-6/3 ตัวชี้วัดมัธยมศึกษาตอนปลาย
ข้อที่ 3
2.3 สาระที่ 2 มาตรฐานข้อที่ 2
ต กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
จากตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 สรุปได้ว่า
ตัวชี้วัดของหลักสูตรนี้เป็นตัวระบุสิ่งที่ผู้เรียนรู้และปฏิบัติได้
ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ สามารถนำมากำหนดเนื้อหา
การจัดทำแผนการเรียนรู้ได้อย่างเป็นระบบเพราะตัวชี้วัดชี้เฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม
ซึ่งตัวชี้วัดคุณภาพผู้เรียนได้แก่ ตัวชี้วัดรายปี (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) ซึ่งเป็นภาคบังคับและตัวชี้วัดช่วงชั้น
(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ซึ่งเป็นการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
กลุ่มสาระการเรียนรู้
|
ระดับชั้น
|
|||||
ป.1
|
ป.2
|
ป.3
|
ป.4
|
ป.5
|
ป.6
|
|
สาระการเรียนรู้พื้นฐาน
|
||||||
1. ภาษาไทย
|
240
|
240
|
240
|
200
|
200
|
200
|
2. คณิตศาสตร์
|
200
|
200
|
200
|
160
|
160
|
160
|
3. วิทยาศาสตร์
|
120
|
120
|
120
|
80
|
80
|
80
|
4. ประวัติศาสตร์
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
ศาสนา ศิลธรรม จริยธรรม
|
80
|
80
|
80
|
80
|
80
|
80
|
หน้าที่พลเมืองเศรษฐศาสตร์
ภูมิศาสตร์
|
80
|
80
|
80
|
80
|
80
|
80
|
5. สุขศึกษา
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
พลศึกษา
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
6. ศิลปะ
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
ดนตรีนาฎศิลป์
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
7. กอท.
|
40
|
40
|
40
|
80
|
80
|
80
|
คอมพิวเตอร์
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
8. ภาษาต่างประเทศ
|
40
|
40
|
40
|
80
|
80
|
80
|
รวม
|
1040
|
1040
|
1040
|
1000
|
1000
|
1000
|
*กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
|
|
|
|
|
|
|
1. กิจกรรมแนะแนว/จิตสาธารณะ
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
2.1 ลูกเสือยุวกาชาด
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
2.2 ชุมนุมชมรม
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
|
120
|
120
|
120
|
120
|
120
|
120
|
- ภาษาอังกฤษ (ครูต่างประเทศ)
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
40
|
- ภาษาจีน
|
0
|
0
|
0
|
40
|
40
|
40
|
3. โครงสร้างเวลาเรียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียน ดังนี้
(กระทรวงศึกษาธิการ 2551:23-24)
กลุ่มสาระการเรียนรู้
|
ระดับชั้น
|
|||||
ป.1
|
ป.2
|
ป.3
|
ป.4
|
ป.5
|
ป.6
|
|
รวม
|
40
|
40
|
40
|
80
|
80
|
80
|
รวมทั้งสิ้น
|
1200
|
1200
|
1200
|
1200
|
1200
|
1200
|
ตารางที่ 2.1
กำหนดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐาน
และเพิ่มเติม สถานศึกษาสามารถดำเนินการดังนี้
ระดับประถมศึกษาสามารถปรับเวลาเรียนพื้นฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ต้องมีเวลาเรียนรวมตามที่กำหนดไว้ในโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐาน และผู้เรียนต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
ระดับมัธยมศึกษา
ต้องจัดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานให้เป็นไปตามที่กำหนดและสอดคล้องกับเกณฑ์การจบหลักสูตร
สำหรับเวลาเรียนเพิ่มเติม ทั้งในระบบประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ให้จัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษาและเกณฑ์การจบหลักสูตร
เฉพาะระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3
สถานศึกษาอาจจัดให้เป็นเวลาสาระการเรียนรู้พื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาและกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่กำหนดไว้ในชั้นประถมศึกษาปีที่
1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีละ 120 ชั่วโมง และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน
360 ชั่วโมง
เป็นเวลาสำหรับปฏิบัติกิจกรรมแนะแนวกิจกรรมนักเรียน
และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์ ในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์ให้สถานศึกษาจัดสรรเวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรม
ดังนี้
ระดับประถมศึกษา
(ป.1-6) รวม 6
ปี จำนวน 60
ชั่วโมง
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
(ม.1-3) รวม 3
ปี จำนวน 45
ชั่วโมง
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(ม.4-6) รวม 3
ปี จำนวน 60
ชั่วโมง
จากโครงสร้างเวลาเรียนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 สรุปได้ว่า
โครงสร้างเวลาเรียนของหลักสูตรนี้กำหนดให้ผู้เรียนเรียนในแต่ละช่วงชั้นที่มีความแตกต่างกันโดยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
1-6 มีเวลาเรียนไม่เกิน 1,000 ชั่วโมง/ปี ระดับขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3
มีเวลาเรียนไม่เกิน 1,200 ชั่วโมง และระดับมัธยมศึกษาปีที่
4-6 มีเวลารวม 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,600 ชั่วโมง
4. การจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้
สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน
ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 8
กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์
พัฒนาทักษะต่างๆ
อันเป็นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย (กระทรวงศึกษาธิการ 2551:25 – 26)
1. หลักการจัดการเรียนรู้
การจัดการเยนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพุงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยยึดหลักว่า
ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ยึดประโยชน์ที่เกิดผู้เรียน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถพัฒนาตนเองตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและการพัฒนาทางสมองเน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้
และคุณธรรม
2. กระบวนการเรียน
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร
กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการจัดการเรียนแบบบรูณาการ
กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนทางสังคม
กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย
กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ด้วยตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย
กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนพัฒนา
เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร
ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ
เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.
การออกแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้
ตัวชี้วัดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์
และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแล้วจึงพิจารณาออกแบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน
สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและการประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุเป้าที่กำหนด
4.
บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน
การจัดการเรียนเพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร
ทั้งผู้สอนและผู้เรียนควรมีบทบาท ดังนี้
1) บทบาทของผู้สอน
1.1)
ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนำข้อมูลใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้
ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน
1.2)
กำหนดเป้าหมายที่ต้องกรให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน
ด้านความรู้และทักษะกระบวนการ ที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์
รวมทั้งลักษณะอันพึงประสงค์
1.3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและการพัฒนาการทางสมอง
เพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย
1.4) จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้
และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้
1.5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น
เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
1.6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย
เหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาและระดับการพัฒนาของผู้เรียน
1.7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียนรวมทั้งปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง
2) บทบาทของผู้เรียน
2.1) กำหนดเป้าหมาย วางแผน
และรับผิดการเรียนรู้ของตนเอง
2.2) เสาะแสวงหาความรู้
เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อความรู้ ตั้งคำถาม
คิดหาคำตอบหรือหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ
2.3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง
และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์ต่างๆ
2.4) มีปฏิบัติ ทำงาน
ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู
2.5)
ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนด้วยตัวเองอย่างเนื่อง
จากการจัดการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 สรุปได้ว่า
การจัดการเรียนรู้หลักสูตรนี้เป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการนำหลักสูตรที่กำหนดให้ไปใช้การปฏิบัติ
5.
เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด
นั่นคือ ให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้
การจัดกนการสอนทางเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีเป้าหมายสำคัญดังนี้ (
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546 ,หน้า 3-4)
1)
เพื่อให้เข้าใจหลักการทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานในทางวิทยาศาสตร์
2)
เพื่อให้เข้าใจขอบเขต
ธรรมชาติ และข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์
3)
เพื่อให้มีทักษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4)
เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ
ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะใน
การสื่อสาร
และความสามารถในการตัดสินใจ
5)
เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี มวลมนุษย์และสภาพแวดล้อมใน
เชิงที่มีอิทธิพลและผละกระบทซึ่งกันและกัน
6)
เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและการ
ดำรงชีวิต
7)
เพื่อให้เป็นมีจิตวิทยาศาสตร์
มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาสตร์และเทคโนโลยี
2.2
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนวิทยาศาสตร์ พุทธศักราช 2551
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ
มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน
มีการทำกิจกรรมด้วยการลงปฏิบัติอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น
โดยได้กำหนดสาระสำคัญไว้ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.2.1 ทำไมต้องเรียนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต
เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่างๆ
ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่าง ๆ
ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์
ผสมผสานกับความคิดสร้างสร้างและศาสตร์อื่น ๆ
วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความรู้เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสร้าง
คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้
มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างมีระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่ในการหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้
วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (K Knowledge-based )
ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์
เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น
สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมีคุณธรรม
2.2.2 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ ?
กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์รู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียน
ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน
มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น
โดยได้กำหนดสาระสำคัญไว้ดังนี้
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
สิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ
ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการดำรงชีวิต ความหลากหลายทางชีวิต
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การทำงานของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
และเทคโนโลยีชีวภาพ
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัวเรา ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ
ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น
ประเทศ และโลก ปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่ของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
สารและสมบัติของสารสมบัติของวัสดุและสาร
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเปลี่ยนสถานะ
การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร สมการเคมี และการแยกสาร
แรงและการเคลื่อนที่ ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์
การออกแรงกระทำต่อวัตถุ การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน
โมเมนต์การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
พลังงาน พลังงานกับการดำรงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน
สมบัติและปรากฏการณ์ของ แสง เสียง และวงจรไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสีและปฏิกิริยาเคมีนิวเคลียร์
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงานการอนุรักษ์พลังงาน
ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี
สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้ำ อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
ปรากฏการณ์ทางธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศ วิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสัมพันธ์และผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก
ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
และโลก ความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศ
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
และจิตวิทยาศาสตร์
2.2.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง
และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ
ของสิ่งมีชีวิตที่ทำงานสัมพันธ์กัน
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ
การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสารสิ่งที่เรียนและนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 2 ชีวิตและสิ่งแวดล้อม
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสิ่งมีชีวิตความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในระดับท้องถิ่นประเทศ และโลก
นำความรู้ไปใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร
ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติขอสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสาระลาย
การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แลจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและมีคุณธรรม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุในธรรมชาติ
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์
สาระที่
5 พลังงาน
มาตรฐาน
ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดำรงชีวิต
การเปลี่ยนรูปพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน
ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมมีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่
6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน
ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของกระบวนการต่างๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และ
สัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาสาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพ
การปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะและต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก
มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาสาสตร์สื่อสารสิ่งที่เรียนและนำไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 7.2
เข้าใจความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศที่นำมาใช้ในการสำรวจอวกาศและทรัพยากรธรรมชาติ
ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างมีคุณธรรมต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอนสามารถอธิบายและตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น
ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม
มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
2.2.4 คุณภาพผู้เรียน
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
เข้าใจลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิต
และการดำรงชีวิตที่หลากหลายในสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น
เข้าใจลักษณะที่ปรากฏและการเปลี่ยนแปลงของวัสดุรอบตัว แรงในธรรมชาติ รูปของพลังงาน
เข้าใจสมบัติทางกายภาพของดิน
หิน น้ำ อากาศ
ดวงอาทิตย์ และดวงดาว
ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต
วัสดุและสิ่งของ และปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว สังเกต สำรวจ ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย
และสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง เขียน หรือวาดภาพ
ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ในการดำรงชีวิต การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทำโครงงานชิ้นงานตามที่กำหนดให้
หรือตามความสนใจ
แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่เรียนรู้ และแสดงความซาบซึ้งต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวแสดงถึงความมีเมตตา ความระมัดระวังต่อสิ่งมีชีวิตอื่น
ทำงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์
จนเป็นผลสำเสร็จและทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
จบชั้นประถมศึกษาปีที่
6
เข้าใจโครงสร้างและการทำงานของระบบต่างๆของสิ่งมีชีวิต
และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ
สถานะของสาร สมบัติของสารและการทำให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลง สารในชีวิตประจำวัน
การแยกสารอย่างง่าย
เข้าใจผลที่เกิดจาการออกแรงกระทำกับวัตถุ
ความดัน หลักการเบื้องต้นของแรงลอยตัวสมบัติและปรากฏการณ์เบื้องต้นของแสง เสียง
และวงจรไฟฟ้า
เข้าใจลักษณะ องค์ประกอบ สมบัติของผิวโลกของผิวโลก
และบรรยากาศ ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ โลก
และดวงจันทร์ที่มีต่อการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้
คาดคะเนคำตอบหลากแนวทาง วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์
วิเคราะห์ข้อมูล และสื่อสารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบ
ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต
และการศึกษาความรู้เพิ่มเติมทำโครงงานชิ้นงานผลงานของผู้คิดค้น
แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ
รอบคอบและซื่อสัตว์ในการสืบเสาะหาความรู้
ตระหนักในคุณค่าของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทฺธิในผลงานของผู้คิดค้น
แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย
แสดงถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
แสดงความยินเห็นของตนเองและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ทำงานของระบบต่าง ๆ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ์กรรม เทคโนโลยีชีวิภาพ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
พฤติกรรมและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม
เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของสารละลาย
สารบริสุทธิ์ การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบการเปลี่ยนสถานะ
การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
เข้าใจแรงเสียดทาน โมเมนต์ของแรง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
กฎการอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลัง สมดุลความร้อน การสะท้อน
การหักเหและความเข้มของแสง
เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน
พลังงานไฟฟ้าและหลักการเบื้องต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์
เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกแหล่งทรัพยากรธรณี
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ
และผลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ บนโลกความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศ
เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี การพัฒนาและผลของการพัฒนาเทคโนโลยีต่อสุขภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ตั้งคำถามที่มีการกำหนดและควบคลุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง
วางแผนและลงมือสำรวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูล
และสร้างองค์ความรู้
สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง
หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต
การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ
แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้
เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้
ตระหนักในคุณค่าของรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ
แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น
แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
แสดงความยินเห็นของตนเองและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
เข้าใจการรักษาดุลยภาพของเซลล์และกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดสารพันธุกรรม การแปรผัน มิวเทชัน วิวัฒนาการของสิ่ง
มีชีวิตความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตและปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมต่าง
ๆ
เข้าใจในกระบวนการ ความสำคัญและผลของเทคโนโลยีชีวภาพภาพต่อมนุษย์ สิ่งชีวิตและสิ่งแวดล้อม
เข้าใจชนิดของอนุภาคสำคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม
การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ การเกิดปฏิบัติเคมีและเขียนสมการเคมี
ปัจจัยที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิบัติเคมี
เข้าใจชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่าง ๆ ของสารที่มีความสัมพันธ์กับแรงยึดเหนี่ยว
เข้าใจการเกิดปิโตรเลียม การแยกแก๊สธรรมชาติและการกลั่นลำดับส่วนน้ำมันดิบ
การนำผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปใช้ประโยชน์และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
เข้าใจชนิด สมบัติ ปฏิกิริยาที่สำคัญของพอลิเมอร์และสารชีวโมเลกุล
เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เกี่ยวกับการที่แบบต่าง ๆ
สมบัติของคลื่นกลคุณภาพของเสียงและการได้ยิน สมบัติ
ประโยชน์และโทษของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสีและพลังงานนิวเคลียร์
เข้าใจกระบวนเปลี่ยนแปลงของโลกและปรากฏการณ์ทางธรณีที่มีผลต่อสิ่งชีวิตและสิ่งแวดล้อม
เข้าใจการเกิดและวิวัฒนาการของระบบสุริยะ
กาแล็กซี เอกภพและความสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศ
เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง
ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า
ผลของเทคโนโลยีต่อสิ่งมีชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
ระบุปัญหา
ตั้งคำถามที่จะสำรวจสอบ โดยมีการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ
สืบค้นข้อมูลจากหลากแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง
ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานที่เป็นไปได้
วางแผนการสำรวจตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคำถาม วิเคราะห์ เชื่อมโยง
ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ
โดยใช้สมการคณิตศาสตร์หรือสร้างแบบจำลองจากผลหรือความรู้ที่ได้รับจากการสำรวจตรวจสอบ
สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง
หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต
การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ
แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ
และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้
เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้
ตระหนักในคุณค่าของรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ
แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน
ชิ้นงานที่เป็นผลจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย
แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่าเสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน
ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น
แสดงถึงความพอใจ
และเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคำตอบ หรือแก้ปัญหาได้
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงแลเหตุผลประกอบ
เกี่ยวกับผลการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
2.2.5 มาตรฐานตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่
1
2.2.5.1
มาตรฐาน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ
ของสิ่งมีชีวิตที่ทำงานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต
2.2.5.2
ตัวชี้วัด
1) เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต
2) สังเกตและอธิบายลักษณะและหน้าที่ของโครงสร้างภายนอกของพืชและสัตว์
3) สังเกตและอธิบายลักษณะ
หน้าที่และความสำคัญของอวัยวะภายนอกของมนุษย์ ตลอดจน
การดูแลรักษาสุขภาพ
ชุดกิจกรรม
1. ความหมายชุดกิจกรรม
สนิท ฟูจันทร์ ( อ้างใน ปิยวรรณ
ตาคำ ,2545
หน้า 29)
ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมว่าเป็นการเอาเนื้อหา ประสบการณ์ แนวคิด วิธีการ
กิจกรรมและสื่อการสอนหลายๆ อย่างมาผสมผสานกันอย่างเป็นระบบและสอดคล้อง
เพื่อให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ประหยัด จิระวรพงศ์ ( 2547
: 263 ) กล่าวว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง
ชุดกิจกรรมเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง เป็นนวัฒกรรมทางการศึกษา และสื่อประสม
เพราะว่าเป็นประสบการณ์ของการเรียนรู้ที่ต้องใช้สื่อหลายอย่าง
ระบบการผลิตสื่อที่นำสื่อการเรียนหลายๆ อย่างมาสัมพันธ์และคุณค่าส่งเสริมซึ่งกันและกัน
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2551
: 14-15) กล่าวว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือชุดการสอนตรงกับ
ภาษาอังกฤษว่า Instructional Package เป็นสื่อประสมประเภทหนึ่งซึ่งมีจุดหมายเฉพาะเรื่องที่สอน
แม้ชุดการเรียนการสอนจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับบางคนแต่นักเรียนไทยได้มีแนวคิดการทำชุดกิจกรรมการสอนมาเป็นเวลานาน
แม้จะยังไม่มีคำว่า “ชุดการเรียนการสอน” ขึ้นมาก็ตาม
ชุดการเรียนการสอนเป็นสื่อประสมที่ได้จัดระบบการผลิตและนำสื่อการสอนที่สอดคล้องกับวิชาหน่วย
หัวเรื่อง และวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนมีประสิทธิภาพ
สรุปได้ว่า
จากการศึกษาความหมายของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หมายถึง
สื่อการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ มีความสมบรูณ์
และสอดคล้องกับเนื้อหาสาระตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนได้ศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง
ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายของการเรียนรู้
2.3.2
ส่วนประกอบของชุดกิจกรรม
วรรณทิพา รอดแรงค้า และ พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2542, หน้า 2-3)
ได้กล่าวถึงส่วนประกอบของชุดกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สรุปได้ดังนี้
1. ชื่อกิจกรรม
เป็นส่วนที่บอกให้ทราบถึงลักษณะที่ต้องการฝึก
2. คำชี้แจง
เป็นส่วนที่อธิบายความมุ่งหมายและความสำคัญของการจัดกิจกรรมและอธิบายหลักหรือ
แนวทางในการฝึกแต่ละทักษะ
โดยกล่าวให้เห็นภาพอย่างกว้างๆ
ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้สอนได้เห็นภาพการจัดกิจกรรมอย่างคร่าวๆ
และยังมีประโยชน์สำหรับผู้สอนที่จะได้ทราบว่ากิจกรรมนั้นมีจุดมุ่งหมายลักษณะตรงตามจุดประสงค์หรือไม่
3. จุดมุ่งหมาย
เป็นส่วนที่ระบุจุดมุ่งหมายที่สำคัญของกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย 2
ประกอบ คือ
3.1 จุดมุ่งหมายทั่วไป
เป็นส่วนที่บอกถึงจุดมุ่งหมาย
3.2 จุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม
เป็นส่วนที่บ่งชี้ให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมที่กำหนดโดยสังเกตและวัด
ได้
และเป็นไปตามที่คาดหวัง
4. แนวคิด
เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหาหรือมโนมติของกิจกรรมนั้น เป็นส่วนที่อธิบายให้ผู้สอนทราบว่าอะไร
เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้เรียนควรจะได้รับและเข้าใจจากการเรียนตามกิจกรรมนั้น
5. สื่อ
เป็นส่วนที่ระบุถึงวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการดำเนินกิจกรรม
6. เวลาที่ใช้
เป็นส่วนที่ระบุจำนวนโดยประมาณว่ากิจกรรมนั้นควรใช้เวลานานเพียงใด
7. ขั้นตอนในการดำเนิน
เป็นส่วนที่ระบุวิธีการจัดกิจกรรมเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ วิธีจัด
กิจกรรมนี้ได้ไว้เป็นขั้นตอนดังนี้
7.1 ขั้นนำ
เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนก่อนเริ่มทำกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์แต่ละทักษะ
7.2 ขั้นกิจกรรม
เป็นส่วนให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมได้ลงมือปฏิบัติการทดลอง คิดตัดสินใจ
ซึ่ง
ช่วยทำให้ผู้เรียนได้แสดงออกในการทำกิจกรรม
ได้แสดงความคิดเห็นในกลุ่มเพื่อนหรือเป็นรายบุคคลตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดประสอการณ์ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ตามเป้าหมาย
7.3 ขั้นอภิปรายเป็นขั้นที่ผู้เรียนจะมีโอกาสนำเสนอประสบการณ์ที่ได้จากขั้นกิจกรรมวิเคราะห์
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและแม่นยำ
7.4 ขั้นสรุป
เป็นส่วนที่ผู้สอนและผู้เรียนประมวลความรู้ที่จากขั้นกิจกรรมและขั้นอภิปรายและนำมา
สรุปเป็นสาระและได้ใจความสำคัญ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมต่อไป
8. การประเมินผล
ในสวนนี้จะเป็นการทดสอบผู้เรียนหลังจากบทเรียนของแต่ละกิจกรรม ว่ามีความรู้
ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนหรือฝึกไปเพียงใด
โดยแบบทดสอบที่ใช้พัฒนาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ แนวคิด และเนื้อหาที่ตั้งไว้
9. ภาคผนวก
เป็นส่วนที่ให้ความรู้กับผู้สอน ซึ่งประกอบด้วยคำเฉลยของแบบทดสอบแบบฝึกกิจกรรม
คำเฉลยแบฝึกกิจกรรม
ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะในกิจกรรมนั้นๆ
ความรู้และข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้และการสร้างสื่อชนิดต่างๆ
ที่ประกอบฝึกทักษะและข้อเสนอแนะสำหรับผู้สอนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรม
จากคำกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า รูปแบบและส่วนประกอบของชุดกิจกรรมคือ
ชื่อกิจกรรม คำชี้แจง จุดมุ่งหมาย แนวคิด เวลาที่ใช้ สื่อ
ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม การประเมินผลและ ภาคผนวก การศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษา
ได้นำรูปแบบและส่วนประกอบของชุดกิจกรรมดังกล่าวมาเป็นแนวทางในการประยุกต์เพื่อการสร้างชุดกิจกรรม
โดยชุดกิจกรรมแต่ละชุดประกอบด้วย ชื่อชุดกิจกรรม คำชี้แจง
จุดประสงค์การเรียนรู้สาระสำคัญ เวลาที่ใช้ สื่อ ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม
การประเมินผล ภาคผนวก
เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด
นั่นคือ ให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้
การจัดกนการสอนทางเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีเป้าหมายสำคัญดังนี้
(
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546 ,หน้า 3-4)
- เพื่อให้เข้าใจหลักการทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานในทางวิทยาศาสตร์
- เพื่อให้เข้าใจขอบเขต
ธรรมชาติ และข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์
- เพื่อให้มีทักษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ
ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะใน
การสื่อสาร
และความสามารถในการตัดสินใจ
- เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี มวลมนุษย์และสภาพแวดล้อมในเชิง
ที่มีอิทธิพลและผละกระบทซึ่งกันและกัน
- เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและการ
ดำรงชีวิต
- เพื่อให้เป็นมีจิตวิทยาศาสตร์
มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาสตร์และเทคโนโลยี
2.4
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพราะการทำงนตามขั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์แต่ละขั้นนั้นจะประสบผลสำเร็จ
หรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับความสามารถและทักษะกระบวนทางวิทยาศาสตร์ของแต่ละคนมีผู้ให้ความหมายคำว่าทักษะกระบวนการทางวิทยาศสาสตร์ไว้ดังนี้
ภานุเดช หงษาวงศ์ ( 2540,หน้า 32) ได้ให้ความหมายของคำว่า
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills )
หมายถึง เป็นทักษะทางการปฏิบัติ ควบคู่ไปกับทักษะสติปัญญา (Intellectual
Skills) ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
สืบเสาะแสวงหาความรู้และแก้ปัญหาต่างๆ
วรรณทิพา รอดแรงค้า (2540,หน้า ค) ได้ให้ความหมายของคำว่า ทักษะกระบวนการทางวิยาศาสตร์ หมายถึง
ความสามารถในการใช้กระบวนการต่างๆ ได้แก่ การสังเกต การวัด การจำแนกประเภท
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา การคำนวณ
การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล การลงความคิดเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์
การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การกำหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง
การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป อย่างคล่องแคล่ว ถูกต้องและแม่นยำ
จากความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ว่า
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการใช้กระบวนกาต่างๆ ได้แก่
การสังเกต การวัด การจำแนกประเภท
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา
การคำนวณการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล การลงความคิดเห็นจากข้อมูล การพยากรณ์
การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การกำหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง
การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป อย่างคล่องแคล่ว ถูกต้องและแม่นยำ
2.4.2
ความสำคัญของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
นักศึกษาได้กล่าวถึงความสำคัญของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งผู้ศึกษาได้รวบรวมไว้พอสังเขปดังนี้
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544ให้ความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ว่า
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เน้นการเชื่อโยง ความรู้กับทักษะกระบวนการ
จำเป็นต้องปลูกฝังให้นักเรียนได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล
คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะในการค้นหาความรู้
และสร้างองค์ความรู้โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้
มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
สามารถตัดใจโดยใช้ข้อมูลที่หลายหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ รวมถึงมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูลและการจัดการ
( กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546,หน้า 1)
ผดุงยศ ดวงมาลา (2531,หน้า 33)
ได้กล่าวถึงความสำคัญของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ว่า
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องปลูกฝังให้นักเรียนเป็นคนคิดเป็นทำเป็นแก้ปัญหาและให้รู้จักค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
วิธีการหนึ่งที่จะได้ซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คือ การค้นคว้า การทดลอง
ในขณะทำการค้นคว้าทดลองนั้น ผู้ทดทอง
จะมีโอกาสได้ฝึกฝนทั้งในด้านการปฏิบัติและการพัฒนาความคิดไปในขณะเดียวกัน
เช่นการฝึก การสังเกต การบันทึกข้อมูล การตั้งสมมติฐาน
การทำการวัดหาความสัมพันธ์ของตัวแปรและอื่นๆ
พฤติกรรมที่เกิดจากการปฏิบัติและการฝึกฝนความคิดอย่างมีระบบนี้เรียกว่า
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
วรรณทิพา รอดแรงค้า ( 2540,หน้า 1) ได้กล่าวถึงความสำคัญของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานไว้ว่า
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
เป็นทักษะที่ทุกคนใช้ในการเรียนวิทยาศาสตร์
หลักสูตรวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และต้องการให้ผู้เรียนใช้ทักษะเหล่านี้ในการเรียนวิทยาศาสตร์และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
คือ การค้นคว้า การทดลองและทำให้ผู้ทดลองมีโอกาสได้ฝึกฝนทั้งด้านปฏิบัติและการพัฒนาความคิดไปในขณะเดียวกัน
2.4.3
รูปแบบการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ไม่มีผู้ใดจำแนกไว้ว่ามีการฝึกกี่รูปแบบผู้ศึกษาอาศัยแนวทางของ ประสาท อิศรปรีดา (
อ้างใน ปิยวรรณ ตาคำ, 2545, หน้า 22-23)โดยจำแนกรูปแบบการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้
2 รูปแบบคือ 1
1.
การฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบรวม
คือ การฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในแต่
ละกิจกรรม
ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 1
ทักษะ ส่วนมากเป็นการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่อิงเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ของสถาบันส่งการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2.
การฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบแยก
คือ การฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในแต่ละกิจกรรม
เน้นการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพียงทักษะเดียว มีทั้งการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่อิงเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ของสถาบันส่งการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่อิงเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ของสถาบันส่งการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาใช้การฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบแยกโดยจัดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบแยกทีละทักษะจนครบทั้ง
8
ทักษะ
ซึ่งในแต่ละชุดกิจกรรมจะเน้นการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพียงทักษะเดียวโดยอิงเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งแต่ละกิจกรรมจะให้ผู้เรียนเข้าใจความคิดรวบยอดเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นๆ
2.4.4
การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการที่ใช้ค้นหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์การพัฒนาทักษะกระบวรการทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดขึ้นกับตัวนักเรียน
จึงเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์
ดังนั้นจึงมีผู้สนใจรวบรวมไว้พอสังเขป
มลธี ศรีสมพันธ์ ( 2541)
ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่
5 ตามแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ความรู้
กฤษฎา ปัตเตย์ ( 2538)
วิจัยเกี่ยวเรื่องชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเรื่องพลังงานและสารเคมี
สานิตย์โลหะ (2539)วิจัยเกี่ยวเรื่องการใช้ชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ บุรินทร์ ทองแม้น
และคณะ (2538)
ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบของการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยการใช้ชุดกิจกรรม
การปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนได้มีนักเรียนหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติไว้พอสังเขปได้ดังนี้
ยุพา ตันเจริญ (2532,หน้าคำแถลง) กล่าวว่า
การสอนที่ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นคือ
การจัดให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมมากที่สุดโดยเฉพาะการลงปฏิบัติ
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537,หน้า 24)
ได้กล่าวถึงการจัดประสบการณ์เรียนรู้สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์เรียนรู้นั้นควรให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง
เพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดประสงค์
จะเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญที่มีบทบาทต่อการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้ทำหารปฏิบัติกิจกรรมจริงด้วยตนเองเพราะนักเรียนจะได้มีส่วนร่วมและเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
2.5
พฤติกรรมที่บ่งชี้ในการเกิดทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
พฤติกรรมที่บ่งชี้ในการเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานต่อไปนี้
(วรรณทิพา รอดแรงค้า และ จิต นวนแก้ว ,2542,หน้า 3-4
1. การสังเกต
1.1 ชี้บ่งและบรรยายสมบัติของวัตถุโดยการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน
ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย โดยใส่ความคิดเห็น
หรือประสบการณ์เดิมของผู้สังเกตลงไป
1.2 บรรยายการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่สังเกตได้
2.6 การวัดและการประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
การวัดและการประเมินผลตามคู่มือ Taxonomy of
Educational Objectives ของบลูม
(อ้างใน จงศิริ วิวัฒน์เชาว์พันธ์ , 2549 , หน้า 32-34) จะดำเนินการวัดและประเมินผลครอบคลุม ใน 3 ด้าน
ดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย
( Cognitive
Domain ) การวัดและการประเมินผลด้านนี้ คลอฟเฟอร์
กล่าวว่า เราสามารถวัดได้จากพฤติกรรม 4 ด้านเป็น
ความหลัก คือ ความรู้ ความเข้าใจ
กระบวนการวิทยาศาสตร์ และการนำความรู้และกระบวนการวิทยาศาสตร์ไปใช้
ซึ่งมีรายได้ละเอียดดังต่อไปนี้
1.1 ด้านความรู้
หมายถึง
พฤติกรรมที่แสดงว่าผู้เรียนมีความจำเรื่องต่างๆ
ที่ได้รับรู้จากากรค้นคว้าด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จำแนกเป็น 9 ประการ ได้แก่
1) ความรู้เกี่ยวกับความจริง
2) ความรู้เกี่ยวกับมโนทัศน์
3)
ความรู้เกี่ยวหลักการและกฎวิทยาสาสตร์
4) ความรู้เกี่ยวข้อตกลง
5) ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนของปรากฏการณ์ต่างๆ
6) ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของสิ่งต่างๆ
7) ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์
8) ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
9) ความรู้เกี่ยวกับทฤษฏี
1.2 ด้านความเข้าใจ
หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงว่าผู้เรียนได้ใช้ความรู้ที่สูงกว่าความรู้ ความจำ ซึ่ง
แบ่งเป็น 2
ประเภท
1) ความเข้าข้อเท็จจริง
2) ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปลความหมายของเท็จจริง
1.3
ด้านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หมายถึง พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสวงหาความรู้และแก้ปัญหาด้วย
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งมีการดำเนินการโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และเจตติทางวิทยาศาสตร์วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการที่นักเรียนวิทยาศาสตร์ใช้แสวงหาความรู้เพื่อแก้ปัญหาต่าง
ๆ ที่ตนสนใจ มีขั้นตอนดังนี้
1) ระบุปัญหา
2) ตั้งสมมติฐาน
3) ดำเนินการทดลอง
4) สังเกตขณะทดลอง
5) รวบรวมและวิเคราะห์
6) สรุปผลการทดลอง
1.4 ด้านการนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้
พฤติกรรมที่ผู้เรียนนำความรู้ มโนทัศน์
หลักการ กฎ ทฤษฏี
รวมทั้งวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้
ปัญหาดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1) ปัญหาที่เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ในสาขาเดียวกัน
2) ปัญหาที่เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์สาขาอื่น
3) ปัญหาที่เป็นเรื่องของการนำวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้
2. ด้านจิตพิสัย
( Affective
Domain )
แนวคิดเกี่ยวพฤติกรรมด้านจิตพิสัยตามแนวคิดของ
คลอฟเฟอร์ (อ้างใน จงสิสิ
วิวันฒ์เชาว์พันธ์, 2549,หน้า 33-34 ) ที่กล่าวว่า
การพิจารณาด้านจิตพิสัยของผู้เรียนที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์นั้น
พิจารณาจากพฤติกรรมด้านความรู้ อารมณ์ และระดับการยอมรับหรือปฏิเสธ
โดยจะกล่าวถึงเจตติและความสนใจ ซึ่งมีรายละเดียดดังนี้
2.1 เจตติ
พฤติกรรมที่เกี่ยวกับเจตคติ สามารถแบ่งได้ดังนี้
1)
เจตคติต่อวิทยาศาสตร์
หมายถึง ความรู้สึก ความเชื่อ และพฤติกรรม
การรับรู้คูณลักษณะ
ของนักวิทยาศาสตร์ศรัทธา
ในอาชีพวิทยาศาสตร์และผลงานทาง วิทยาศาสตร์
2)
เจตคติต่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หมายถึง การนำความรู้และกระบวนการ
วิทยาศาสตร์มาใช้
3) เจตคติเชิงวิทยาศาสตร์
หมายถึง ท่าที ความรู้ของบุคคลที่มีต่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.2
ความพึงพอใจ
เป็นพฤติกรรม เป็นพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงความพอใจใน
ประสบการณ์เรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่อาจจะอยู่ในรูปของการพูด
การเขียน หรือการแสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
ปรารถนาที่จะเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
2.3 ความสนใจ
เป็นพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกในลักษณะของการอาสาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
ด้วยความสมัครใจ
2.4
ความตระหนัก
เป็นพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงการเห็นคุณค่าประโยชน์ของวิทยาศาสตร์
ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
สังคม และศีลธรรม ซึ่งจะส่งผลตัวผู้เรียนเอง
ชุมชน บุคคลอื่น ประเทศชาติ และโลก
3. ด้านทักษะพิสัย
(Psychomotor
Domain )
แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านทักษะพิสัยที่ คลอฟเฟอร์ (อ้างใน จงสิสิ วิวันฒ์เชาว์พันธ์, 2549 ,หน้า 33-34)
ได้เสนอแนะไว้ 2 ประเด็น คือ
3.1
ทักษะการใช้เครื่องมือปฏิบัติการทั่วไป
เครื่องใช้ทั่วไปในห้องปฏิบัติการ วิทยาศาสตร์ ได้แก่
เครื่องชั่ง
กล้องจุลทรรศน์ ไม้บรรทัด เครื่องแก้วต่างต่างๆ ลักษณะด้านนี้
จะมุ่งเน้นเรื่องทักษะของการใช้เครื่องมือ
ซึ่งเกิดการการได้ฝึกปฏิบัติงานที่ต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
3.2
ทักษะการปฏิบัติงานการทดลองได้อย่างประณีตและปลอดภัยลักษณะนี้จะพิจารณาเรื่องของการ
ดำเนินการดำเนินการที่มีลำดับขั้นตอนด้วยความละเอียดถี่ถ้วนและระมัดระวังมีความรอบคอบ
เพื่อให้ได้ที่มีคุณภาพ
รวมทั้งป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องใช้และอันตรายที่จะขึ้นกับผู้ทำการทดลอง
2.6.1
การวัดและประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เป็นความคล่องแคล่วในการคิดและการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ เช่น
พฤติกรรมในการสังเกต การเลือกเครื่องมือการแสดงความคิดเห็นย่างมีหลักเกณฑ์ เป็น
ในการวัดประเมินผลจำเป็นที่จะต้องวัดทั้งด้าน ความรู้ ความคิด และด้านทักษะการปฏิบัติ ซึ่งแต่ละด้าน
สุวัฒก์ นิยมค้า ( 2531,หน้า 643-650) ได้สรุปไว้ดังนี้
1. ด้านความรู้
ความคิด สามารถวัดด้วยข้อทดสอบ 2 ประเภท คือ
1.1 การวัดด้วยข้อทดสอบแบบบรรยาย
เพื่อถามหาทักษะหาคิดและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ควรดำเนินการดังนี้
1.1.1
ยกเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์มาทั้งเรื่อง เช่น การทดลองเบ็ดเสร็จที่ครูเตรียขึ้น
แล้วให้นักเรียนอ่าน และวิเคราะห์และตอบคำถาม เช่น
1) อะไรคือปัญหาของเรื่องนี้
2) อะไรคือสมมติฐาน
3) การออกแบบการทดลองเป็นอย่างไร
4) อะไรคือตัวแปรต้น
ตัวแปรตาม ตัวแปรที่ควบคุม
5) อะไรคือข้อมูลจาการสังเกตและการวัด
6) เขาใช้วัสดุและเครื่องมืออะไรบ้าง
7) ผลสรุปการทดลองเป็นอย่างไร
1.1.2
ยกบางส่วนของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์มาให้นักเรียนอ่านและวิเคราะห์แล้วตั้งคำถามที่
เกี่ยวทักษะกระบวนการคิดและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
1.1.3
ครูสร้างสถานการณ์สั้นๆ
ขึ้นเอง แล้วถามหาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่นมี 7
ชนิด
คือ เหรียญบาท ตะปูเหล็ก น้ำ หินแกนนิต ไนโตเจน คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำเกลือ
ถ้าจัดเสียใหม่เป็น 3 กลุ่ม
อยากทราบว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์
1.2 การวัดด้วยข้อทดสอบแบบปรนัย
ซึ่งรูปแบบของข้อทดสอบแบปรนัยที่จะนำมาใช้กับวิชาวิยาใน
ศาสตร์ได้ดีมีอยู่ 2
รูปแบบคือ
1.2.1 ข้อสอบแบบเติมคำช่องว่าง
ข้อสอบแบบนี้ต้องการต้องคำตอบแบบสั้นๆข้อสอบจะเป็น
ข้อสอบที่เป็นประโยคที่ไม่สมบรูณ์
แต่เมื่อได้เติมคำลงในช่องว่างแล้ว ประโยคจึงจะได้ ข้อความสมบรูณ์ เช่น
(1) ก๊าซที่ทำให้ปูนใสขุ่น คือ ……………….
(2) ก่อนฝนตกจะร้อนอบอ้าว เพราะ……………
1.2.2
ข้อสอบแบบมีคำตอบให้เลือก จะประกอบ 2ส่วน คือ
ส่วนที่เป็นคำถามหรือตัวนำ (stem)
กับส่วนที่เป็นคำตอบให้เลือก ( Choices, Altematives)
ส่วนที่เป็นคำถามหรือตัวนำนั้นอาจตั้งในรูปของคำถาม เช่น อัตราเร็วของเสียง ณ
ที่สูงต่ำต่างกัน มีค่าต่างกันเพราะอะไร ( แล้วต่อท้ายด้วยคำตอบ ก ข ค ง)
ส่วนที่เป็นคำตอบให้เลือกจะมีตัวเลือกที่ถูกเพียงข้อเดียว (key) นอกนั้นจะเป็นลวงทั้งหมด (Distracters)
2.
ด้านทักษะการปฏิบัติ
การวัดทักษะด้านนี้เป็นการใช้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง ด้วยการสาธิต ทดลอง
เครื่องมือที่นำมาใช้ในการวัดทักษะการปฏิบัติมี 2อย่าง
ได้แก่
2.1 ข้อทดสอบให้ปฏิบัติการ
โดยครูให้นักเรียนทำการปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เช่น
ให้ทำการทดลอง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้สาธิตการตั้งเครื่องมือให้ดู เป็นต้น
2.2
แบบสังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบัติการ จะช่วยให้ครูทราบว่านักเรียนได้ทักษะการปฏิบัติมากน้อยเพียงไร
ซึ่งจะรู้อย่างรวดเร็วได้จากการสังเกตการณ์ปฏิบัติของนักเรียนโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมเป็นเครื่องมือตามลักษณะของการปฏิบัติการ
ภพ เลาหไพบูลย์ ( 2534, หน้า 311- 315 )
กล่าวถึงวิธีการประเมินพฤติกรรมด้านปฏิบัติ ไว้ดังนี้
1) การสังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบัติการ ควรสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ คือ
1.1
ทักษะการปฏิบัติ เป็นการประเมินความสามรถของนักเรียนในด้านเทคนิค
การทดลอง การดำเนินทดลอง ความคล่องแคล่วและความมีระเบียบในการทดลอง
1.2
สังเกตการณ์ทดลอง เป็นการสังเกตวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ และผลการทดลอง
1.3
การแก้ปัญหา
เป็นการประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาในภาคปฏิบัติการแก้ไขปรับปรุงวิธีการหรือปัญหาต่างๆ
ที่พบได้อย่างเหมาะสม
2) การตรวจจากรายงานผลปฏิบัติการ
โดยการตรวจจากรายงานผลปฏิบัติการ เช่น การสังเกตและใช้บันทึก การจัดกระทำและนำเสนอข้อมูล
การแปลความหมายของข้อมูลและการสรุป ความถูกต้องของผลการทดลอง เป็นต้น
3) การทดสอบภาคปฏิบัติในการการสอบภาคปฏิบัติ
ครูอาจเลือกกิจกรรมและการทดลองที่นักเรียนเคยทำการทดลองที่นักเรียนเคยทำการทดลองแล้วในชั้นเรียนหรืออาจกำหนดการทดลองใหม่
ซึ่งนักเรียนไม่เคยทำการทดลองมาก่อนเพื่อเน้นการปัญหา
สังเกตว่านักเรียนจะสามารถออกแบบการทดลองดำเนินการทดลอง
และได้ผลการทดลองถูกต้องเพียงใด
วรรณทิพา รอดแรงค้า (2540, หน้า 166-167 )
กล่าวว่าการประเมินกระบวนการที่พยายามวัดคุณภาพและปริมาณการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการต่างๆ
ได้แก่ การทดสอบ การตอบแบบสอบถาม
การสัมภาษณ์ เป็นต้น ในการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน เช่น
การรวบรวมตัวอย่างที่นักเรียนเคยทำ การบันทึกเทปภาษาที่ผู้เรียน หรือการอัดเทป
การทำงานของผู้เรียน นอกจานนี้ยังเป็นการบรรยายผู้เรียนว่าทำอะไร ได้แร้วบ้างมากกว่าการบอกเพียงระดับคะแนนหรือสรุปผลการเรียนของผู้เรียน
การประเมินจะรวบทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผู้เรียน
คะแนนของผู้เรียนภาษาที่ผู้เรียนพูด แม้แต่พฤติกรรมที่นักเรียนทำ
ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม การทำหน้าบึ้ง หรือการเปลี่ยนแปลงอิริยาบถต่างๆ
การประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มี 2 รูปแบบ
คือ การประเมินโดยใช้แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ ( Multiple-choice)
และการประเมินพฤติกรรมการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ( performance
Asskessment)
การประเมินโดยใช้ใช้แบบทดสอบชนิดเลือกตอบเป็นวิธีเก่าแก่ดั่งเดิมในขณะที่การประเมินพฤติกรรมเป็น
แนวทางเลือกใหม่ในการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งเน้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุประสงค์สำคัญในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
สำหรับการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยแบบทดสอบชนิดเลือก
3
ตัวเลือก
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังนี้
กฤษณา ศรีกอก (2539)
ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่าการใช้ชุดกิจกรรม
ทางคณิตศาสตร์ จำนวน 16 กิจกรรม
เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน อยู่ในเกณฑ์73.57/68.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 60/60 และผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังใช่ชุดกิจกรรม
มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมทุกทักษะ
สานิตย์ โลหะ ( 2539)
ศึกษาการใช้ชุดกิจกรรมเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 พบว่าการใช้ชุดกิจกรรมอยู่ในเกณฑ์ 83.33/74.40 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 60/60 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรม
มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมทุกทักษะ
และพฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออกมาที่สุด คือ ความรู้อยากเห็น และความกระตือรือร้น
อารี มาลา (2540)
ศึกษาการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถทางทักษะกระบวกการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
พบว่า
หลังใช้แผนกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถทางทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขั้นแสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จะช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้มากขั้น
อนุวัฒน์ จะระแอ (2543)
ศึกษาการพัฒนาหน่วยการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวกการทางวิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 พบว่า
หน่วยการสอนมีประสิทธิภาพ 92.06/82.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้
คือ 80/80
และเมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน
กับหลังเรียนมีความแตกกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05และพฤติกรรมในด้านความสนใจของนักเรียนส่วนมากอยู่ในระดับดี
ปิยวรรณ ตาคำ (2545)
ได้ศึกษาผลการใช้ชุดกิจจกรมเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนดงเจนวิทยาคม
จังหวัดพะเยา
พบว่าได้ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
จำนวน 13 ชุด และนักเรียนที่ใช่ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
มีคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าก่อนใช่ชุดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
จามรี สินจรูญศักดิ์ (2548)
ศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการใช้ชุดกิจกรรมของเล่นพื้นที่บ้านที่ประดิษฐ์จากพืชโรงเรียนปะเหลียนผดุงศิษย์ จังหวัดตรัง พบว่า
ได้ชุดกิจรรมของเล่นพื้นบ้านที่ประดิษฐ์จากพืชเพื่อฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 13 ชุด และนักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมของเล่นพื้นบ้านที่ประดิษฐ์จากพืชคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการใช้ชุดกิจกรรมของเล่นพื้นบ้านที่ประดิษฐ์จากพืชสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01
จงศิริ วิวัฒน์เชาว์พันธ์ (2549)
ศึกษาการสร้างชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของกลุ่มทดลอง
และกลุ่มควบคุมแตกต่างๆกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่านักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะมีผลฤทธิ์ทางด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานมาหาประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์
71.43/73.48 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
คือ 70/70 แสดงว่าชุดฝึกทักษะของกลุ่มทดลองแสดงออกให้เห็นว่ามีความพอใจที่ดีต่อชุดฝึกในระดับดีมาก
คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.06
จากการศึกษาผลงานวิจัย
จะเห็นว่าการใช้ชุดกิจกรรมมีส่วนสำคัญในการพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้การเรียนการสอนประสบสำเร็จได้เป็นอย่างดีและผู้ศึกษาจึงต้องการสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยใช้เนื้อหาจากกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่
6 เรื่อง
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมขึ้นเพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานให้นักเรียน
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัย เรื่อง
การใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1
และเพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 ผู้วิจัยขอนำเสนอผลการศึกษา เป็น 2 ตอน
ดังนี้
ตอนที่ 1 การพัฒนาชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1
ตอนที่ 2 ผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1
ตอนที่ 1 การพัฒนาชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1
ในการพัฒนาชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2544 และวิเคราะห์เนื้อหาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
จึงสร้างชุดกิจกรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1มีองค์ประกอบ คือ ชื่อชุดกิจกรรม คำชี้แจง จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านทักษะ
ด้านเนื้อหา สาระสำคัญ ด้านทักษะ ด้านเนื้อหา สื่อ/แหล่งเรียนรู้
เวลาที่ใช้ วิธีการดำเนินกิจกรรมประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นกิจกรรม ขั้นอภิปราย ขั้นสรุปผลและการประเมินผล ภาคผนวก
จำนวน 1 ชุดกิจกรรม ใช้เวลา 4 ชั่วโมง
แต่ละชุดกิจกรรมปรากฏในตาราง 1
ตาราง 1 วิเคราะห์ชุดกิจกรรม กิจกรรมที่ใช้ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
และเวลาในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
ลำดับที่
|
ชื่อชุดกิจกรรม
|
กิจกรรมที่ใช้
|
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
|
เวลา/ชั่วโมง
|
1
|
ทักษะการสังเกต
(2 กิจกรรม)
|
1.
การสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัส
2.
การสังเกตโดยการกะประมาณ
|
พืชรอบๆบริเวณโรงเรียน
|
4
|
1. การสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 จำนวน 1 ชุด แต่ละชุดประกบด้วย
1.1 ชื่อชุดกิจกรรม
เป็นส่วนที่บอกให้ทราบถึงลักษณะของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการฝึกปฏิบัติจริง
1.2 คำชี้แจง เป็นส่วนที่อธิบายความมุ่งหมาย
ความสำคัญของการจัดกิจกรรมและอธิบายหลักการ หรือแนวทางในการฝึกทักษะแต่ละทักษะ
1.3 จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นส่วนที่ระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่สำคัญของกิจกรรมฝึกทักษะนั้น
ๆ ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ 2 ประเภท คือ
1.3.1 จุดประสงค์ด้านทักษะ
เป็นส่วนที่บ่งชี้ให้นักเรียนได้แสดงพฤติกรรมที่กำหนด
1.3.2
จุดประสงค์ด้านเนื้อหาเป็นส่วนที่บ่งชี้ให้นักเรียนได้ความรู้จากเนื้อหาที่ปฏิบัติกิจกรรม
1.4 สาระสำคัญ เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหา หรืออธิบายให้นักเรียนทราบว่า
อะไรเป็นสาระสำคัญ นักเรียนควรจะได้รับและเข้าใจจากการฝึกทักษะตามกิจกรรมนั้น
ๆ ซึ่งประกอบด้วยสาระสำคัญ 2 ประเภท
1.4.1 ด้านทักษะเป็นส่วนที่ระบุให้นักเรียนเข้าใจจากการฝึกทักษะตามกิจกรรมนั้น
1.4.2
ด้านเนื้อหา เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหาหรืออธิบายให้นักเรียนทราบว่า
อะไรเป็นสาระสำคัญที่นักเรียนควรจะได้รับ
1.5 สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
เป็นส่วนที่ระบุถึงอุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ของชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่ใช้ในการฝึกทักษะแต่ละกิจกรรม
พร้อมทั้งแบบบันทึกผลการทำกิจกรรม
1.6 เวลาที่ใช้
เป็นส่วนที่ระบุจำนวนโดยประมาณว่าแต่ละ ชุดกิจกรรมนั้น ควรจะใช้เวลาเพียงใด
1.7 ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม
ประกอบด้วย ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นกิจกรรม ขั้นอภิปราย ขั้นสรุปผล
และการประเมินผล ภาคผนวก
โดยขั้นนำเข้าสู่บทเรียนเป็นขั้นเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มทำกิจกรรมฝึกทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์
มีการใช้สิ่งแวดล้อมจริง อุปกรณ์และวัสดุของจริง บัตรภาพ แผนภาพ
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเป็นสื่อกลางในการพัฒนาด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แต่ละทักษะ
ขั้นกิจกรรม เป็นส่วนที่ช่วยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมฝึกปฏิบัติ
คิดตดสินใจ
แสดงความคิดเห็นกับเพื่อนในกลุ่มหรือเป็นรายบุคคลและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจ
ขั้นอภิปราย เป็นส่วนที่นักเรียนมีโอกาสนำเอาประสบการณ์ที่ได้รับจากขั้นกิจกรรมมาวิเคราะห์
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ขั้นสรุปเป็นส่วนที่ครูและนักเรียนประมวลความรู้ที่ได้จากขั้นกิจกรรมและขั้นอภิปรายมาสรุปใจความสำคัญเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมต่อไป
1.8 การวัดและประเมินผล
ในส่วนนี้เป็นการทดสอบนักเรียนหลังจากเรียนชุดกิจกรรมจำนวน 8 ชุด แล้วว่ามีความรู้
ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนหรือฝึกไปเพียงใดโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 นอกจากประเมินด้วยแบบทดสอบของชุดกิจกรรมแล้วครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน
ในขณะทำกิจกรรม เช่น การทำงานเป็นกลุ่ม การตอบคำถามเพื่อนด้วยกัน ตอบคำถามครู
การซักถามและการแสดงความคิดเห็นในการทำกิจกรรม การเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
ตรวจผลงาน
1.9 ภาคผนวก เป็นส่วนที่ให้ความรู้กับครู ซึ่งประกอบด้วยแบบฝึกหัด
เฉลยแบบฝึกหัด ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะในกิจกรรมนั้น ๆ
และข้อเสนอแนะสำหรับครู เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรม
2.
นำชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 1ชุด
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
เสนออาจารย์ที่ปรึกษาการค้นคว้าแบบอิสระและผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ตรวจสอบเกี่ยวกับองค์ประกอบของชุดกิจกรรม
ความสอดคล้องของกิจกรรมกับจุดประสงค์
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความถูกต้องของภาษา เพื่อพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
คือมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 ซึ่งค่า IOC
ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานมีค่า IOC
0.96 และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานมีค่า
IOC มีค่า 0.93
และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีค่า IOC มีค่า
0.96 และข้อเสนอแนะเพื่อปรับก่อนนำไปใช้จริง ดังนี้
1.
การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้
เป็นส่วนที่รวมจุดมุ่งหมายที่สำคัญของกิจกรรมควรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ จุดประสงค์ด้านทักษะ และจุดประสงค์ด้านเนื้อหา
2. การเขียนสาระสำคัญ
เป็นส่วนที่ระบุเนื้อหาของกิจกรรมนั้น ควรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
คือ สาระสำคัญด้านทักษะ และด้านเนื้อหา
3.
ชื่อกิจกรรม จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคัญ กิจกรรมควรมีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน
4. แบบประเมินชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ด้านเนื้อหาควรสอดคล้องกับจุดประสงค์
5.
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ควรวัดให้ตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้
6.
ควรตรวจสอบ ชุดกิจกรรม แบบทดสอบ ความถูกต้องหรือการพิมพ์ตกหล่นให้ละเอียด
3. ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาการค้นคว้าแบบอิสระและผู้เชี่ยวชาญทั้ง
3 ท่าน
และนำชุดกิจกรรมไปใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายในบริบทใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมาย
พบว่า ชุดกิจกรรมใช้เวลามากกว่าเวลาที่กำหนดไว้ เช่น กิจกรรมที่ 1.4 การสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลง นักเรียนใช้เวลาการทำสวนขวดมากเกินไป
ควรปรับเวลายืดหยุ่นตามความจำเป็น หากนักเรียนมีความพร้อมมาก
การใช้เวลาอาจลดลงหากนักเรียนมีความพร้อมน้อยก็อาจใช้เวลามากขึ้น
จากการวิเคราะห์กระบวนการที่กล่าวมาข้างต้น
จึงได้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1ที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1เพราะเป็นชุดกิจกรรมที่เน้นนักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
เน้นการปฏิบัติจริงและส่งผลให้นักเรียนมีความสามารถด้านทักษะกระบวนการสูงขึ้น
รวมทั้งขณะเรียนนักเรียนได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน น่าสนใจ
จึงทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นทีจะเข้าร่วมกิจกรรมและเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้
และมีการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานดีขึ้น
ตอนที่ 2 ผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1
ปรากฏผลดังตาราง 2
และตาราง 3
ตาราง 2 คะแนน
ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียน
เทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 65.00
นักเรียนคนที่
|
คะแนนหลังเรียน
(30)
|
ค่าร้อยละ
|
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
|
22
23
24
23
26
21
20
22
24
26
21
25
23
22
23
27
24
|
73.33
76.67
80.00
76.67
86.67
70.00
66.67
73.33
80.00
86.67
70.00
83.33
76.67
73.33
76.67
90.00
80.00
|
ตาราง
2
(ต่อ)
นักเรียนคนที่
|
คะแนนหลังเรียน
(30)
|
ค่าร้อยละ
|
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
|
21
23
28
27
24
22
20
21
20
23
20
22
23
24
26
24
25
27
24
23
21
20
|
70.00
76.67
93.33
90.00
80.00
73.33
66.67
70.00
66.67
76.67
66.67
73.33
76.67
80.00
86.67
80.00
83.33
90.00
80.00
76.67
70.00
66.67
|
ค่าเฉลี่ยร้อยละ
|
77.26
|
จากตาราง 2 พบว่าคะแนนเฉลี่ยด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนทั้งหมดหลังการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
เป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 77.26 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ
ร้อยละ 65
ตาราง 3 คะแนน
ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนด้านความรู้เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 65.00
นักเรียนคนที่
|
คะแนนหลังเรียน
(30)
|
ค่าร้อยละ
|
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
|
24
23
28
24
26
25
22
23
27
29
21
25
24
28
24
23
27
26
20
24
23
25
28
29
27
22
23
25
|
80.00
76.67
93.33
80.00
86.67
83.33
73.33
76.67
90.00
96.67
70.00
83.33
80.00
93.33
80.00
76.67
90.00
86.67
66.67
80.00
76.67
83.33
93.33
96.67
90.00
73.33
76.67
83.33
|
ตาราง
3
(ต่อ)
นักเรียนคนที่
|
คะแนนหลังเรียน
(30)
|
ค่าร้อยละ
|
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
|
24
24
26
21
23
24
26
23
24
22
23
|
80.00
80.00
86.67
70.00
76.67
80.00
86.67
76.67
80.00
73.33
76.67
|
ค่าเฉลี่ยร้อยละ
|
81.62
|
จากตาราง 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยด้านความรู้เรื่อง
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ของนักเรียนทั้งหมดหลังการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ
81.62 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ ร้อยละ 65
บทที่ 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่อง
การใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์ขั้นพื้นฐาน
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษา
ดังนี้
1.
เพื่อพัฒนาการใช้กิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1
2.เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้
คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนวัดโยธินประดิษฐ์ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ
เขต 1 จำนวน 39 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
1.ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 จำนวน 1 ชุด
2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานชั้นประถมศึกษาปีที่1
โรงเรียน) แบบเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ
3.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้
เรื่อง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน แบบเลือกตอบ 3ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ผู้ศึกษาทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการนำชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์ขั้นพื้นฐานไปจัดกิจกรรม
จนครบทั้ง 1 ชุดกิจกรรม
2. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานหลงการใช้ชุดกิจกรรมทั้ง
1 ชุดกิจกรรม
3. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง
หลังการใช้ชุดกิจกรรมครบ 1 ชุดกิจกรรม
การวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์โดยนำคะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
มาคำนวณหาร้อยละและค่าเฉลี่ยร้อยละ แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือร้อยละ 65
สรุปผลการศึกษา
1. ได้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 จำนวน 1 ชุด คือ ทักษะการสังเกต
ซึ่งพบว่าชุดกิจกรรมดังกล่าวสามารถพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ได้อย่างเหมาะสม
2. ผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาสาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1พบว่า
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
เป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 77.26 และผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง เป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 81.62 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ ร้อยละ 65
อภิปรายผล
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 และศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
1 หลังจากการศึกษาพบว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 77.26 และผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้
เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 81.62 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
คือร้อยละ 65.00 สามารถอภิปรายผล ได้ดังนี้
1.
การสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ผู้วิจัย
ได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารหลักสูตรและวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2544 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาสาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
โดยเลือกหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ศึกษาวิเคราะห์แล้วว่า
เป็นหน่วยการเรียนรู้ที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของนักเรียน
พร้อมทั้งวิเคราะห์เนื้อหาของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
แล้วนำมาสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เนื่องจากชุดกิจกรรมที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นมีการประมวลเนื้อหา ประสบการณ์ แนวคิด
วิธีการ กิจกรรม และสื่อการสอนหลาย ๆ ชนิดมาผสมผสานกันอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกัน
เพื่อเป็นสื่อกลางในการฝึกฝนหรือพัฒนาความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ซึ่งสอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2534, หน้า 2) ได้กล่าวถึงชุดกิจกรรมไว้สรุปได้ว่า
ชุดกิจกรรมเป็นสื่อประสมรูปแบบหนึ่งที่ใช้ฝึกให้นักเรียนเกิดทักษะด้านต่าง ๆ เช่น
ทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการทำงานกลุ่ม
และในทิศทางเดียวกันกับ สนิท ฟูจันทร์ (อ้างใน ปิยวรรณ ตาคำ,2545, หน้า 29) ที่กล่าวว่า ชุดกิจกรรมเป็นการนำเอาเนื้อหา
ประสบการณ์ แนวคิด วิธีการ กิจกรรมและสื่อการสอนหลาย ๆ
อย่างมาผสมผสานกันอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกันเพื่อให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ประมวลความหมายของชุดกิจกรรมว่า เป็นการนำเอาสื่อประสมที่ประมวลเนื้อหา
ประสบการณ์ แนวคิด วิธีการ กิจกรรมและสื่อการสอนหลาย ๆ
อย่างมาผสมผสานกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาสาสตร์
ทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม
2.
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ผู้วิจัยได้เน้นการจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
เน้นการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ หลายรูปแบบทั้งกิจกรรมกลุ่มและกิจกรรมรายบุคคล
โดยเฉพาะกิจกรรมกลุ่ม เน้นให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม
มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
จึงทำให้สมาชิกในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ สอดคล้องกับคับกล่าวของ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537,
หน้า 24) ได้กล่าวถึงการจัดประสบการณ์
การเรียนรู้นั้นควรให้โอกาสนักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง
เพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดประสงค์
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องดำเนินการ
ในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น เทคนิค วิธีการ และสื่อที่ใช้
3. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ในชุดกิจกรรมแต่ละชุด ผู้ศึกษาได้ทำการคัดเลือกกิจกรรมและสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา
เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้เหมาะสมกับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน
ในแต่ละทักษะเน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองและชุดกิจกรรมแต่ละชุด
ผู้ศึกษาให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเลือกและจัดหาสื่อและแหล่งการเรียนรู้
ทั้งวัสดุของจริงและสถานที่ เน้นกิจกรรมที่หลากหลาย
เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาและประสบการณ์ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดี
สอดคล้องกับการศึกษาของผดุงยศ ดวงมาลา (2531, หน้า 33)
ในการสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
ครั้งนี้ พบว่ามีสิ่งที่สำคัญมาก คือ
การคัดเลือกกิจกรรมและสื่อมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของกิจกรรมทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
ในแต่ละชุดกิจกรรม ดังนั้นผู้ศึกษาจึงได้พยายามคัดเลือกกิจกรรม
ละสื่อที่มีความน่าสนใจ เพื่อที่จะให้นักเรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นที่จะคิด
และร่วมทำกิจกรรมอย่างสนุกสนาน
ทำให้การนำชุดกิจกรรมไปใช้เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
4.
บทบาทของครูและบรรยากาศในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน
ครูและนักเรียนมีการปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลาในช่วงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
และเน้นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ รู้จักคิด
และรู้จักค้นคว้าด้วยตนเอง
โดยครูใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักคิดและแก้ปัญหาเพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งสอดคล้องกับยุพา ตันเจริญ (2532, หน้าคำแถลง)
ที่กล่าวว่า การสอนที่จะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นคือ
การจัดให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมมากที่สุดโดยเฉพาะการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดประสงค์
5.
ผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1
พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
เป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 77.26 และผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 81.62 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
คือ ร้อยละ 65.00 ทั้งนี้เป็นเพราะลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานผู้ศึกษาสร้างขึ้น
สามารถวัดพฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น
สามารถวัดพฤติกรรมได้ 4 ด้าน คือ ด้านความรู้ ความเข้าใจ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และการนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ซึ่งเป็นการออกแบบทดสอบตามหลักการของ
คลอฟเฟอร์ (อ้างใน จงศิริ วิวัฒน์เชาว์พันธ์, หน้า 32-34)
และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้เรื่อง ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
โดยจำแนกพฤติกรรมที่ต้องการวัดตามจุดประสงค์ 6 ด้าน ได้แก่
ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า
ตามหลักการออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของ เยาวดี วิบูลย์ศรี (2545)
จากเหตุผลดังกล่าวขั้นต้นช่วยส่งผลให้นักเรียนมีความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
แสดงถึงชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ที่สร้างขึ้น
มีประสิทธิภาพและช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานได้เป็นอย่างดี
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยที่นักเรียนมีการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้น
หลังจากที่นักเรียนได้เรียนรู้จากชุดกิจกรรม เช่น การศึกษาของ กฤษณา ศรีกอก (2539)
สานิตย์ โลหะ (2539) ปิยวรรณ ตาคำ (2545)
และจงศิริ วิวัฒน์เชาว์พันธ์ (2549) ที่ศึกษาการสร้างชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
พบว่า
ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรม
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้
1. ครูผู้สอนต้องมีทักษะในการตั้งคำถามและใช้คำถามเพื่อนำไปสู่ทักษะกระบวนการสังเกตทางวิทยาศาสตร์แต่ละทักษะ
2. ครูผู้สอนควรเน้นย้ำให้นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอน
เพื่อให้นักเรียนมีการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามจุดมุ่งหมาย
ข้อเสนอแนะในการทำการศึกษาครั้งต่อไป
1. ควรทำการศึกษาเกี่ยวกับความเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
2. ควรทำการศึกษาถึงความคงทนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ.(2544).
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ.
(2546). การจัดสาระการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์.
กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว
กาญจนา วัฒายุ. (2548). การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา.กรุงเทพฯ :
ธนพรการพิมพ์.
กฤษฎา ปัตเตย์. (2538). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
เรื่อง
พลังงานและสารเคมี ระหว่างนักเรียนที่ได้รับและนักเรียนที่ไม่ได้รับการฝึกกิจกรรม
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์.วิทยานิพนธ์
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
(2551 : 14-15) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
กฤษณา ศรีกอก. (2539). ผลการใช้ชุดกิจกรรมทางคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4.วิทยานิพนธ์
ศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
จงศิริ วิวัฒน์เชาว์พันธ์.
(2549). การสร้างชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานในกลุ่ม
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6
ในจังหวัดแม่ห้องสอน.
วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
จามศิริ สินจรูญศักดิ์. (2548). การใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
โดยใช้ชุดกิจกรรมของเล่นพื้นบ้านที่ประดิษฐ์จากพืช โรงเรียน
ปะเหลียนผดุงศิลย์ จังหวัดตรัง.วิทยานิพนธ์
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2547). กระบวนการสันนิเวทนาการและระบบสื่อ การสอน.กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นพพร ธนะชัยขันธ์. (2544). สถิติเพื่อการวิจัย.เชียงราย : คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สถาบันราชภัฏเชียงราย.
บุรินทร์ ทองแม้น และคณะ. (2538). การพัฒนารูปแบบการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขั้นมูลฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.
วิจัยสนเทศ, 15(174-175),9-10.
ปิยวรรณ ตาคำ. (2545). ผลการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมต้น.วิทยานิพนธ์
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ประสาท อิศรปรีดา. (2521). ธรรมชาติและกระบวนการเรียนรู้.มหาสารคาม : ภาควิชาหลักสูตรและ
การสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาสารคาม.
ผดุงยศ ดวงมาลา. (2531). ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์. วารสารศึกษาศาสตร์,4(12), หน้า 33-39.
พร้อมพรรณ อุดมสิน. (2544). การวัดและประเมินผลการเรียนการสอนคณิตศาสตร์.กรุงเทพฯ :
คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ภานุเดช หงษาวงศ์. (2540). ทักษะสำหรับครูวิทยาศาสตร์.เชียงใหม่ : ภาควิชาหลักสูตรและการสอน
สถาบันราชภัฏเชียงใหม่.
ภพ เลาหไพบูลย์.
(2534). การสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา
เล่ม 2.เชียงใหม่ : เชียงใหม่
คอมเมอร์เชียล.
มลธี ศรีสมพันธ์. (2541). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ตามแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ความรู้.วิทยานิพนธ์
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ยุพา ตันติเจริญ. (2531). แบบเรียนด้วยตนเองการใช้คำถามที่นำไปสู่ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เล่มที่ 1.สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เยาวดี วิบูลย์ศรี. (2545). การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. (2540).
การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ.กรุงเทพฯ :
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ
วรรณทิพา รอดแรงค้าและจิต นวนแก้ว (2542).
การพัฒนาการคิดของนักเรียนด้วยกิจกรรมทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์.กรุงเทพฯ
: บริษัทเดอะมาสเตอร์กรุ๊ปแมนเนจเม้นท์
จำกัด.
วรรณทิพา รอดแรงค้าและ พิมพันธ์ เดชะคุปต์.
(2542). กิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สำหรับครู. กรุงเทพฯ :
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว).
วิชัย วงษ์ใหญ่. (2537). กระบวนการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ.กรุงเทพฯ :
ชมรมเด็ก.
สานิตย์ โลหะ. (2539). การใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
(2546). การจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน.กรุงเทพฯ
:
องค์การค้าคุรุสภา.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย
เขต 3.
(2550). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ
ขั้นพื้นฐาน
(O-NET)
ช่วงชั้นที่ 2 (ป.6).เชียงราย.
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
กระทรวงศึกษาธิการ. (2534). คู่มือครูรูปแบบการ
ฝึกทักษะการทำงานกลุ่ม
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.กรุงเทพฯ
:
บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์
สุวัฒน์ นิยมค้า. (2531). ทฤษฎีและการปฏิบัติในการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ เล่ม 1.
กรุงเทพฯ : เจเนอรัลบุ๊คเซนเตอร์.
อารี มาลา. (2540). การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถทางทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน.วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
อนุวัฒน์ จะระแค. (2543). การพัฒนาหน่วยการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
6.วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.